ความรู้เกี่ยวกับเครื่องช่วยฟัง และการซื้อ เครื่องช่วยฟัง
ประเภทเครื่องช่วยฟัง แบ่งตามรูปลักษณ์
รูปลักษณ์เครื่องช่วยฟัง |
ข้อดี |
ข้อจำกัด |
เครื่องช่วยฟังแบบเกี่ยวหลังหู BTE เช่น รุ่น G25,G25BT,G25D ,G21,G26M,G26RL |
1. มีกำลังขยายที่หลากหลายเหมาะกับทุกะดับการได้ยิน 2. ตัวเครื่องและปุ่มควบคุมต่างๆ มีขนาดกะทัดรัด หยิบจับง่าย 3. คุณภาพเสียงมีความเป็นธรรมชาติมากกว่าเครื่องช่วยฟังแบบกล่อง 4. ส่วนใหญ่จะเปิดได้ดังกว่าแบบในรูหู 5. หลายๆรุ่นมีระบบตัดเสียงรบกวน |
1. มีโอกาสมีเสียงหอนสูง 2. ถ้าใส่แว่นด้วย อาจจะทำให้ปวดหลังหูได้ 3. มีโอกาสโดนเหงื่อจากไรผม ทำให้เครื่องเสีย |
เครื่องช่วยฟังแบบเสียบในรูหู ITE และ CIC เช่น รุ่น G10,G12 ,G17,G19 |
1. คุณภาพเสียงมีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด 2. มีขนาดเล็กเมื่อใส่แล้วมองเห็นได้ยาก 3. ราคาถูก 4. ใช้งานง่าย 5. ใส่แล้วรู้สึกสบายหู 6. มีเสียงหอนน้อย สำหรับแบบ ITE |
1. ถ่านหายาก ใช้ถ่านเครื่องช่วยฟัง หาซื้อได้ตามร้านนาฬิกา หรือ รีโมทรถยนต์ 2. เปิดเสียงได้ดังไม่มาก 3. ตัวเครื่องและปุ่มควบคุมต่างๆ มีขนาดเล็ก หยิบจับยาก ปรับเสียงยาก 4. เฉพาะ แบบ CIC ที่มีขนาดเล็กมาก จะมีเสียงหอนมาก และแก้ไขยาก ทำให้เปิดเสียงดังไม่ได้ 5. เครื่องเล็ก ทำให้ปรับแต่งได้น้อย ไม่ค่อยมีระบบตัดเสียงรบกวน |
ประเภทเครื่องช่วยฟัง แบ่งตามแหล่งพลังงาน
ประเภทเครื่องช่วยฟัง |
ข้อดี |
ข้อจำกัด |
ใส่ถ่าน G26M,G10,G12 |
1. มีชั่วโมงการใช้งานสูงมาก เหมาะกับใช้เวลาที่มีที่ชาร์จ เช่น ใส่ขึ้นเครื่องบิน หรือประชุม เป็นต้น 2. ไม่มีอายุการใช้งานเครื่อง |
1. ถ่านหายาก มีขายที่ร้านนาฬิกา ร้านรีโมทรถยนต์ หรือตามเว็บไซส์ (ไม่มีใน 7-11) |
ชาร์จแบตเตอรี่ G25,G25BT,G25D ,G21,G26RL ,G17,G19 |
1. สามารถใช้ซ้ำได้ ไม่ต้องเสียเวลาหาถ่าน 2. เหมาะสำหรับใส่อยู่กับที่ เช่น อยู่ในบ้าน ใส่ไปสถานที่ใกล้ๆ |
1. แบตเตอรี่มีอายุการใช้งาน ชาร์จได้ประมาณ 500ครั้ง ขึ้นอยู่กับการถนอม ดูแลรักษาแบตเตอรี่ ของแต่ละบุคคล |
เครื่องช่วยฟัง หูฟังคนแก่ หูฟังคนหูหนวก เครื่องช่วยเหลือการได้ยิน หูทิพย์ Hearing Aids-Great Ear คือ เครื่องขยายเสียงขนาดเล็กที่สามารถใส่ติดไว้ที่หู เพื่อทำหน้าที่ขยายเสียงพูดและเสียงจากสิ่งเเวดล้อมภายนอก ทำให้ผู้ฟังได้ยินเสียงดังขึ้น โดยเครื่องช่วยฟังจะ ไม่สามารถเลือกขยายเสียงเฉพาะเสียงคำพูดโดยไม่มีเสียงรบกวนได้ เครื่องช่วยฟังถือเป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
ประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น ไมโครโฟน ลำโพง และเครื่องขยายเสียง ปัจจุบันมีสองระบบ คือดิจิตอล กับ อนาล๊อก
วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของการเลือกเครื่องช่วยฟังก็เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้การได้ยินที่เหลืออยู่(Residual hearing)ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ได้เครื่องที่มีเสียงรบกวนน้อยที่สุดซึ่งจะส่งผลให้การฟังเข้าใจคำพูดดีขึ้น มีความเพี้ยนของเสียงที่ได้ยินน้อยลง
เมื่อไรถึงจะใช้ เครื่องช่วยฟัง ?
- ผู้ป่วยที่สูญเสียการได้ยินซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการให้ยาหรือการผ่าตัด
- การสูญเสียการได้ยินนั้นมีผลกระทบต่อการสื่อความหมายด้วยการฟังและการพูด
- การสูญเสียการได้ยินที่มีผลกระทบต่อพัฒนาการทางภาษาและการพูดในเด็ก
- ผู้ป่วยสูญเสียการได้ยินจากโรคหูที่อาจได้รับประโยชน์จากการผ่าตัด แต่มีข้อห้ามในการผ่าตัดหรือปฏิเสธการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคหูนั้นๆ เช่น เป็นโรคหัวใจ เหลือการได้ยินเพียงข้างเดียว อีกข้างหนึ่งหูหนวก เป็นต้น
การเลือก เครื่องช่วยฟัง ต้องดูอะไรบ้าง ?
- ประเภทและระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยิน เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการเลือกกำลังขยายของเครื่องช่วยฟังเพื่อให้เหมาะสมกับระดับการได้ยินของผู้ป่วย
- อายุ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นอาจมีปัญหาของกล้ามเนื้อมือซึ่งมักจะอ่อนแรงหรือเกิดอาการสั่น หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น ทำให้มีความลำบากในการหยิบจับ การปรับปุ่มต่างๆ ของเครื่องช่วยฟัง ส่วนการเลือกเครื่องช่วยฟังในเด็กนั้นจะมีข้อ จำกัดในการเลือกชนิดของเครื่องช่วยฟัง เนื่องจากสภาพการเจริญเติบโตของช่องหู ดังนั้นในเด็กที่มีอายุน้อยกว่านี้ควรใส่เครื่องช่วยฟังแบบทัดหลังใบหูเพื่อความสะดวกในการเปลี่ยนพิมพ์หูเมื่อมีขนาดของช่องหูใหญ่ขึ้น
- อาชีพอาชีพเป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาในการเลือกเครื่องช่วยฟังให้เหมาะสมกับผู้ป่วย เช่น ในผู้ป่วยบางรายที่ประกอบอาชีพที่ต้องมีการติดต่อสื่อสารหรือพบปะผู้คนในสังคม อาจมีความต้องการใช้เครื่องช่วยฟังที่มีขนาดเล็กและผู้อื่นมองเห็นไม่ชัดเจน เพื่อภาพลักษณ์ทางสังคม
- รูปแบบของเครื่องช่วยฟังและความสะดวกในการใช้งานรูปแบบของเครื่องช่วยฟัง และความสะดวกในการใช้งาน ขึ้นอยู่กับความต้องการและรูปแบบการใช้งานของผู้ป่วย
- งบประมาณเครื่องช่วยฟังมีราคาที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของเครื่องช่วยฟัง ซึ่งการเลือกเครื่องช่วยฟัง ต้องขึ้นอยู่กับงบประมาณของผู้ป่วยและความจำเป็นในการใช้งาน
หลักในการเลือก เครื่องช่วยฟัง
การได้ทดลองฟังเสียงเปรียบเทียบในเครื่องช่วยฟังแต่ละรุ่นจะช่วยในการตัดสินใจซื้อได้อย่างดีที่สุด นอกจากนี้ยังต้อคำนึงถึง
- งบประมาณ
- รูปแบบ ทั้งแบบกล่อง แบบทัดหลังหู แบบใส่ในช่องหู แต่ละแบบ จะมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกัน
- ระบบคุณภาพเสียง
- แบบธรรมดา (Analog) เป็นระบบการขยายเสียงที่เป็นมาตรฐานทั่วไป คือ ขยายทุกเสียงที่ผ่านเข้ามาจึงอาจจะก่อให้เกิดความรำคาญสำหรับผู้ที่ใช้งานได้
- แบบดิจิตอล (Digital) เป็นพัฒนาการล่าสุดของเครื่องช่วยฟังสามารถขยายเสียงพูดได้ชัดเจน ลดเสียงรบกวนได้มาก และสามารถปรับแต่เสียงได้ตามความต้องการ
- กำลังขยาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องช่วยฟังระบบใดก็ตาม ควรเลือกเครื่องที่มีกำลังขยายเพียงพอกับความต้องการของผู้ใช้
- แหล่งที่ซื้อ ความเชื่อมั่นว่าท่านจะได้เครื่องที่มีคุณภาพจริง รวมทั้งการบริการหลังการขายความสะดวกสบายในการรับบริการ
- บริการหลังการขายเครื่องช่วยฟังในปัจจุบันมีด้วยกันหลายยี่ห้อและหลายบริษัท ฉะนั้นการบริการหลังการขายจึงเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจเลือกเครื่องช่วยฟัง เพราะเครื่องช่วยฟังเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่งที่ต้องการผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการซ่อมแซมเมื่อเครื่องช่วยฟังมีปัญหา ดูเงื่อนไขการประกันของเรา
การใส่เครื่องช่วยฟังสองข้าง
ปัจจุบันการได้ยินเสียงยึดหลักว่าได้ยิน 2 หู ดีกว่าได้ยินหูเดียว ดังนั้นการใส่เครื่องช่วยฟัง 2 หู จะมีประโยชน์กว่าเนื่องจาก
- ช่วยให้เกิดความสมดุลของการรับฟังและสามารถแยกทิศทางของเสียงได้ดีขึ้น (Balance hearing-Localizing sound)
- สามารถแยกเสียงพูดออกจากเสียงรบกวนได้ดีขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีเสียงรบกวน (Speech discrimination score)
- ใช้ความดังลดลงกว่าใส่ข้างเดียว
- คุณภาพเสียงดีขึ้น เพราะมีความรู้สึกเป็นธรรมชาติ
- รู้สึกผ่อนคลายเพราะไม่ต้องคอยตั้งใจฟังหรือหันหูข้างที่ใส่เครื่องเข้าหาคู่สนทนา
- หูทั้ง2ข้างได้ใช้งานเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามในบางครั้งผู้ที่สูญเสียการได้ยินทั้ง2ข้างอาจไม่มีความจำเป็นต้องใส่เครื่องช่วยฟังทั้ง2หู บางท่านอาจจะไม่ชอบการใส่สองข้าง จะใส่ข้างเดียวก็ได้
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกว่าจะใส่เครื่องช่วยฟังในหูข้างใดที่จะทำให้ท่านได้ประโยชน์ที่สุด และประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด
ข้อจำกัดของเครื่องช่วยฟัง
- คุณภาพเสียงมักไม่เป็นธรรมชาติคล้ายเสียงที่ผ่านลำโพง
- ความชัดเจนของเสียงจะขึ้นอยู่กับประสาทการได้ยินที่คงเหลืออยู่ของผู้ป่วยแต่ละราย
- การใส่เครื่องช่วยฟังไม่มีผลต่อการรักษาโรคหูหรือทำให้การสูญเสียการได้ยินของผู้ป่วยหายไป
- รุ่นอนาล๊อกเสียงจะไม่ใสเท่ารุ่นที่เป็นดิจิตอล
- ระบบดิจิตอลมีราคาสูงกว่าระบบอนาล๊อก
- ยิ่งเครื่องช่วยฟังเปิดเสียงได้ดังเท่าไร ก็จะมีเสียงหวีดหอนตามมา แต่ต้องแก้ไขได้
การปรับตัวกับการใช้เครื่องช่วยฟัง
- การเริ่มใส่ในผู้ใหญ่ เริ่มใส่ในช่วงเวลาสั้นๆ วันละหลายๆ ครั้งและค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาในการใช้นานขึ้นจนใส่ได้ทั้งวันในช่วงแรก หากรู้สึกล้า ให้ถอดเครื่องออก
- ควรฝึกการฟังเสียงที่เงียบในบ้านและเปิดเสียงเบาๆ ก่อน คุยกับคนๆ เดียวในที่เงียบ และขยายไปที่ที่มีเสียงรบกวนบ้าง จากนั้นเริ่มฝึกฟังและพูดคุยกับคนหลายๆ คน
- ฝึกฟังเสียงภายนอกโดยเริ่มจากที่เงียบๆ ก่อน และค่อยๆ ขยายไปที่ที่ดังขึ้น โดยลดระดับความดังลง การใส่เครื่องช่วยฟังในระยะแรกๆ นั้นอาจจะยังแยกเสียงไม่ได้ดีนัก ต้องอาศัยการฝึกฟังบ่อยๆ เพื่อให้เกิดการปรับตัวและความคุ้นเคยต่อเสียงที่ขยาย
- การดูโทรทัศน์ แนะนำให้ดูข่าวก่อน เนื่องจากพิธีกรจะพูดเสียงระดับเดียว ฟังง่าย
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องช่วยฟัง
- ท่านสามารถขอข้อมูลของเครื่องช่วยฟังได้จากแพทย์ หู คอ จมูก หรือนักโสตสัมผัสวิทยา (นักแก้ไขการได้ยิน) เพื่อไปศึกษาก่อนตัดสินใจใช้เครื่องช่วยฟัง
- การใช้เครื่องช่วยฟัง ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาและความอดทน เมื่อคุ้นเคยแล้วจะทำให้ ท่านมีความสุขในการฟังเสียงจากเครื่องช่วยฟัง ท่านควรฝึกปรับตัวกับเสียงในสิ่งแวดล้อม หมุนเปลี่ยนระดับความดังเมื่อจำเป็นเท่านั้น ควรใช้ระดับความดังเสียงปกติที่ตั้งไว้
- เมื่อไปในที่ที่มีเสียงดังมากๆ รู้สึกทนไม่ไหว ให้ถอดเครื่องเก็บ
- ฝึกฟังแยกแยะเสียงที่คล้ายกัน เช่น ฟัน-ดัน , กบ-ขบ เป็นต้น ซึ่งอาจใช้การอ่านปากช่วย
- หากมีปัญหาให้รีบมาพบนักแก้ไขการได้ยิน
เราจะสื่อสารกับคนที่สูญเสียการได้ยินอย่างไร ?
- ควรอยู่ห่างจากผู้ใช้เครื่องช่วยฟัง 3 – 6 ฟุต หันหน้าให้ตรงกัน และให้มีแสงสว่างบนใบหน้าของผู้พูดเพียงพอ แสงไฟไม่ ส่องเข้าตาคนไข้ ผู้พูดอยู่ในตำแหน่งที่คนไข้สามารถมองเห็นใบหน้าและปากของผู้พูดได้อย่างชัดเจน
- ให้พูดตรงหน้าคนไข้ให้คนไข้เห็นหน้า อย่าพูดตรงข้างหูคนไข้
- อย่าให้อะไรมาบดบังใบหน้า ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการสังเกตสีหน้าและการอ่านปากของคนไข้ เช่น แว่นตา บุหรี่
- เรียกชื่อคนไข้ก่อนที่จะคุยกับเขา เพื่อให้เขาสนใจในตัวผู้พูด
- พูดเสียงดังระดับปกติ พูดให้ชัดเจนด้วยความเร็วที่ช้ากว่าปกติ พูดประโยคสั้นๆ และหยุดระหว่างประโยค เพื่อให้คนไข้จับใจความสำคัญของบทสนทนาได้
- ใช้ภาษาง่ายๆ ถ้าคนไข้ไม่เข้าใจ ควรพูดประโยคนั้นซ้ำ เปลี่ยนคำให้ง่ายขึ้น
- ขณะสนทนากับคนไข้ อย่าตะโกน เนื่องจากจะทำให้เสียงที่ผ่านเครื่องช่วยฟังเข้าไปในหูคนไข้ผิดเพี้ยน
- หากมีบางคำในประโยคที่ออกเสียงคล้ายกัน ให้พูดคำนั้นซ้ำ เน้นที่คำนั้นโดยไม่ต้องให้คนไข้ร้องขอให้พูดซ้ำ
- หลีกเลี่ยงการสนทนาในที่ที่มีเสียงรบกวน เช่น เสียงโทรทัศน์ หรือ วิทยุ เพราะเสียงรบกวนจะทำให้คนไข้ฟังลำบาก ให้ชวนคนไข้ไปคุยในที่เงียบ และปิดแหล่งกำเนิดเสียงรบกวนทั้งหลายก่อนเสมอ
- บอกคนไข้ถึงหัวข้อที่กำลังสนทนาและเตือนคนไข้ให้รู้เมื่อมีการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
- หากไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้ป่วยพูดให้ถามผู้ป่วย
ทัศนคติสำคัญกับการใส่เครื่องช่วยฟังอย่างไร ?
ทัศนคติเกี่ยวกับการสูญเสียการได้ยินและเครื่องช่วยฟังเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เป็นการยากที่จะยอมรับความ
จริงที่ว่ามีการสูญเสียการได้ยินเกิดขึ้น ควรบอกกับครอบครัวและเพื่อนว่าท่านมีการสูญเสียการได้ยิน เพื่อให้การสนทนาของบุคคลเหล่านี้อยู่ในตำแหน่งที่ง่ายต่อการมองและการเข้าใจมากขึ้น ไม่ควรจะรู้สึกอับอายและซ่อนเครื่องช่วยฟังไว้ ให้คิดในแง่บวกเข้าไว้
การตรวจหู
การตรวจการได้ยินมาตรฐาน (Audiometry)
หมายถึง การตรวจการได้ยินด้วยเครื่อง Audiometer ทั้งการนำเสียงทางอากาศ การนำเสียงทางกระดูก และการตรวจการได้ยินด้วยคำพูดเพื่อหาระดับเสียงที่เบาที่สุดที่ผู้ป่วยได้ยิน รวมถึงเปอร์เซ็นต์ของความสามารถในการฟังแยกเสียงคำพูด โดยคนไข้จะต้องให้ความร่วมมือ โดยการกดปุ่มหรือตอบสนองด้วยวิธีต่างๆ เช่น การยกมือ หรือพูดบอก ใช้เวลาในการตรวจประมาณ 10-20 นาทีต่อครั้ง
การตรวจการทำงานของหูชั้นกลาง (Tympanometry)
หมายถึง การตรวจเพื่อวินิจฉัยพยาธิสภาพภายในหูชั้นกลาง โดยการใส่ Ear tip ที่มีขนาดพอเหมาะกับช่องหู ผู้ป่วยจะได้ยินเสียงและลมดันในหูเล็กน้อย ผู้ป่วยนั่งนิ่งๆไม่ต้องทำอะไร ก็จะได้ผลออกมาภายใน1-2นาที
การตรวจการได้ยินระดับก้านสมอง (Audiotory Brainstem Response)
หมายถึง การตรวจเพื่อวินิจฉัยพยาธิสภาพตั้งแต่หลังประสาทหูชั้นใน(Retrocochlear) จนถึงก้านสมอง(Brainstem) ใช้ตรวจได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ กรณีผู้ป่วยเด็กที่ต้องให้ยานอนหลับ ต้องมีการเตรียมตัวก่อนตรวจคือ การงดน้ำ อาหารและยาทุกชนิดอย่างน้อย 4 -6 ชม. ก่อนให้ยา เพื่อป้องกันการสำลัก
กรณีผู้ใหญ่ สามารถตรวจได้โดยไม่ต้อง งด น้ำ ยา หรือ อาหาร ผู้รับการตรวจไม่ต้องทำอะไร นอกจากการนอนนิ่งๆ ผ่อนคลายหรือนอนหลับ ระยะเวลาที่ใช้ประมาณ30-60นาที ถ้าผู้ป่วยนิ่งและผ่อนคลายจะตรวจเสร็จเร็วขึ้น
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก
http://www.audimed.co.th/knowledge.php?id=9
https://eent.co.th/articles/019/
https://www.rama.mahidol.ac.th/hearing_aids_center/th/news/announcement/17jun2019-1522